สิ่งสำคัญที่ผู้ขับไม่ควรละเลยคือ การหมั่นตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเริ่มจากการตรวจสอบระบบสัญญาณไฟให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี หากโคมแก้วเปื้อนให้เช็ดทำความสะอาดเพื่อให้ความสว่างเพิ่มขึ้น และตรวจสอบอุปกรณ์ใบปัดน้ำฝนให้สามารถปัดกวาดน้ำฝนได้สะอาด ไม่มีรอยฝ้า หรือรอยขูดขีดบนกระจก รวมถึงหมั่นเติมน้ำในกระปุกฉีดน้ำอยู่เสมอด้วย
- เปิดไฟหน้า
เพราะไฟหน้าจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้มองเห็นในสภาพที่แสงน้อยและฝนตกหนักได้ - เปิดที่ปัดน้ำฝนให้แรงพอดี
ในขณะที่ฝนตก ควรเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วปรับระดับความเร็วของใบปัดให้สัมพันธ์กับความแรงและปริมาณฝนที่ตกลงมา เพื่อไม่ให้บดบังทัศนวิสัย - ใช้น้ำฉีดกระจกล้างสิ่งสกปรก
ในช่วงที่ฝนเริ่มตก น้ำที่กระเด็นจากการดีดจะมีลักษณะเหนียวคล้ายโคลน แม้จะใช้ก้านปัดน้ำฝนปัดก็ไม่สามารถปัดออกได้หมด จึงควรใช้น้ำฉีดกระจกช่วยชะล้างคราบโคลนเหล่านี้ด้วย - ไม่ขับรถเร็วเกินไป
ควรใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพถนนและการมองเห็น - เว้นระยะห่างมากขึ้น
ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า เพื่อการเบรกอย่างปลอดภัย - ไม่ควรเบรกอย่างกะทันหัน
เพราะอาจเกิดการลื่นไถลของรถและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ - สังเกตให้มากขึ้น
พยายามมองหาจุดที่มีน้ำขังบนถนนและลดความเร็วเมื่อต้องขับผ่านแอ่งน้ำขัง เนื่องจากรถอาจจะเหินน้ำและลื่นไถลได้หากขับมาด้วยความเร็วสูง - ประเมินระดับความลึกของน้ำ
มองระดับความลึกของน้ำ โดยสังเกตจากรถคันหน้าหรือขอบฟุตบาทข้างทาง เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าสามารถขับผ่านไปได้หรือไม่ - ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำให้ปิดแอร์
หากต้องขับลุยพื้นที่น้ำท่วมขัง ควรจะปิดแอร์และใช้เกียร์ต่ำ ( เกียร์ L หรือ เกียร์ 1 ) เพื่อไม่ให้รอบเครื่องยนต์ต่ำเกินไป ไม่งั้นน้ำอาจจะย้อนเข้าท่อไอเสียได้ - ขับไม่ไหวให้หาที่จอด
หากฝนตกหนักมากจนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าในระยะ 10 เมตรได้ชัดเจน แนะนำให้หาที่จอดรถและรอจนฝนเบาลง ค่อยเดินทางต่อเพื่อความปลอดภัย
ทั้งนี้ การตรวจเช็กรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนออกเดินทางทุกครั้ง นอกจากจะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : https://eyefleet.co