10 วิธีขับรถให้ประหยัดน้ำมัน

ในยุคที่ราคาน้ำมันยังคงผันผวนแบบนี้ ยิ่งถ้าใครมีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางเป็นประจำ ก็ต้องเสียเงินเติมน้ำมันอยู่บ่อย ๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับรถ ก็สามารถช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันได้

  1. ขับรถด้วยความเร็วคงที่
    ยิ่งขับรถเร็วมากเท่าไหร่ รถยนต์ยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น และการขับรถช้าจนเกินไป ก็ไม่ได้ช่วยประหยัดน้ำมันอย่างที่เข้าใจเช่นเดียวกัน สำหรับคำแนะนำในการใช้ความเร็วคงที่ ร่วมกับการใช้เกียร์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้รอบเครื่องยนต์สูงเกินไป และควรจะขับโดยรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอไปตลอดทั้งเส้นทาง ก็จะสามารถช่วยลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงลดได้
  2. ไม่เบรกบ่อย / เบรกกะทันหัน
    การเบรกอย่างหนักและเร่งความเร็วบ่อย ๆ จะยิ่งเพิ่มอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากถึง 40% เลยทีเดียว ดังนั้นตลอดเวลาที่ขับรถ ควรจะสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว มองไกลเพื่อประเมินสถานการณ์ข้างหน้า และวางแผนการขับรถให้เหมาะสม เมื่อต้องเจอสิ่งกีดขวางหรือทางเลี้ยว ก็สามารถค่อย ๆ ชะลอความเร็วได้ ไม่ต้องเบรกบ่อย ๆ หรือเบรกแบบกะทันหัน ซึ่งสาเหตุที่การเบรกมีผลต่อการกินน้ำมันเชื้อเพลิง ก็เป็นเพราะทุกครั้งที่เบรก ความเร็วจะลดลง หากต้องการไปต่อก็ต้องเร่งเครื่องขึ้น เพื่อเพิ่มความเร็ว นอกจากจะเปลืองน้ำมันแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
  3. ไม่ออกรถกระชาก เร่งเฉพาะจำเป็น
    การออกรถแบบกระชาก หรือพุ่งไปด้วยความเร็ว นอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอได้ไวขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการขับรถยนต์ที่ถูกวิธี จะต้องไม่เบิ้ล ไม่กระชาก หรือลากเครื่องยนต์ เพราะทุกครั้งที่เร่งเครื่อง หรือเหยียบคันเร่งจนมิด จะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงถูกฉีดเข้าห้องเผาไหม้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการเร่งเครื่องแซงรถคันอื่น อาจทำให้เครื่องยนต์ชำรุด และเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้มากถึง 30% รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกิน ก็ยังจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เกิดเป็นมลพิษตามมา ยิ่งในเครื่องยนต์ดีเซลก็จะทำให้เกิดควันดำ เพิ่มปริมาณฝุ่น PM2.5 ในอากาศอีกด้วย แต่ปัญหาทั้งหมดนี้แก้ไขได้ เพียงการขับรถให้นุ่มนวล ค่อยๆ เหยียบคันเร่ง ใช้ความเร็วสม่ำเสมอตั้งแต่ช่วงที่ออกตัวเท่านั้นเอง
  4. ถ้ารถติดนาน ๆ ให้ใส่เกียร์ว่าง
    ถ้าต้องเจอกับไฟแดงนานหลายนาที หรือติดแหง็กอยู่บนท้องถนนนาน ๆ จากการจราจรที่หนาแน่น จนขยับไปไหนไม่ได้ สิ่งที่ควรทำคือการเข้าเกียร์ว่าง (N) แทนที่จะเข้าเกียร์เดินหน้า (D) ทิ้งไว้ เพราะจากผลการทดสอบยืนยันว่า วิธีนี้สามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง และยังช่วยให้ไม่เมื่อยเท้า จาการที่ต้องเหยียบเบรกตลอดเวลาอีกด้วย
  5. หมั่นเช็กลมยาง
    การหมั่นตรวจเช็กสภาพลมยาง สามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ เพราะถ้าลมยางอ่อนเกินไป จะส่งผลให้เกิดการเสียดทานระหว่างตัวยางกับพื้นถนน ทำให้เครื่องยนต์รับภาระในการหมุนล้อเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น เป็นสาเหตุของการเผาผลาญน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกตินั่นเอง แต่ขณะเดียวกัน หากลมยางแข็งเกินไป ก็จะทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง ดังนั้นจึงควรเติมลมยางตามที่คู่มือรถแนะนำ เพื่อความปลอดภัย และทำให้ประหยัดน้ำมัน
  6. เปิดแอร์อุณหภูมิเหมาะสม ไม่เย็นเกินไป
    เพียงแค่ตั้งอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่เย็นจนเกินไป ก็จะสามารถลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ และภาระของเครื่องยนต์ ที่ดึงพลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมันไปใช้มากถึง 10-20% ได้แล้ว
  7. ขนสัมภาระให้น้อย ไม่เก็บของไว้ในรถ
    หากเราบรรทุกสัมภาระหนักขึ้น 45.3 กก. จะไปลดอัตราการประหยัดพลังงาน 1% และเมื่อรถยนต์ต้องบรรทุกน้ำหนักมากขึ้น เครื่องยนต์ก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นวิธีที่จะช่วยประหยัดน้ำมัน และทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วปกติ ก็คือการขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น และไม่ควรเก็บของไว้ในรถ
  8. หมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์
    ควรหมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนด จะช่วยถนอมเครื่องยนต์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และช่วยลดการกินน้ำมันได้มากขึ้นด้วย สำหรับสิ่งที่ควรตรวจเช็ก ได้แก่
    -ปรับตั้งการจุดระเบิดให้ถูกต้อง หัวเทียนต้องไม่เสื่อมสภาพ และไส้กรองอากาศจะต้องไม่ตัน จะทำให้การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพ
    -ระบบระบายความร้อน และ รอบเครื่องยนต์เดินเบา ต้องทำงานได้เป็นปกติ หากเกิดความบกพร่อง จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
  9. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา
    การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ควรอิงตามคำแนะนำในคู่มือรถยนต์เป็นหลัก หรือตามประเภทของน้ำมันเครื่องที่ใช้งาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดระยะเวลาอยู่ที่ 6 เดือน ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้รถยนต์บ่อย ๆ ก็ยังมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เนื่องจากน้ำมันเครื่องจะมีการเสื่อมประสิทธิภาพลงตามเวลา และหากเครื่องยนต์ไม่ได้สตาร์ตมาเป็นเวลานาน อาจทำให้เครื่องยนต์เกิดสนิม หรือมีคราบเขม่าตามมาได้ ทั้งนี้ในบางกรณี อาจไม่จำเป็นต้องรอจนครบระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด หากพบว่าน้ำมันเครื่องมีปริมาณลดลง หรือมีสีผิดปกติไปจากเดิม ก็ควรจะนำรถไปตรวจสอบสภาพ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในทันที
  10. ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดรถ
    การติดเครื่องยนต์จอดรถเป็นเวลา 5 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน 100 cc. และถ้ายิ่งติดเครื่องยนต์จอดรอนานมากกว่านั้น ก็จะยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมันยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องจอดรถนานเกิน 5 นาทีขึ้นไปควรจะทำการดับเครื่องยนต์ เพื่อประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษทางอากาศ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *