แบตเตอรี่สำคัญขนาดไหน! วิธีเซฟให้ใช้แบตเตอรี่ได้นานกว่าเดิม
แบตเตอรี่ที่รถยนต์ทุกคันต้องมีโดยแบตเตอรี่นั้นจะมีอายุการใช้งานที่จำกัดอยู่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการกักเก็บไฟเพื่อสตาร์ทรถก็จะค่อยๆ หายไป ซึ่งโดยปกติแล้วการใช้งานของแบตเตอรี่จะอยู่ประมาณ 24 เดือน และอายุการใช้งานจะน้อยหรือมากกว่านี้ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยของรถแต่ละคันอย่างเช่น อุณหภูมิของสถานที่เก็บรถร้อนหรือเย็น ระยะทางของการใช้รถ และการทำงานของเครื่องยนต์ของรถแต่ละคัน
สำหรับหน้าที่หลักๆ ของแบตเตอรี่รถยนต์เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของรถยนต์เลยนะครับ เพราะหน้าที่และการทำงานดังนี้ เป็นแหล่งเก็บและสำรองกระแสไฟฟ้า แบตเตอรี่ทำหน้าที่เก็บและสำรองกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากไดชาร์จหรืออัลเทอร์เนเตอร์ จ่ายไฟตอนสตาร์ทเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานจ่ายไฟให้กับสตาร์ทเตอร์ และระบบจุดระเบิดเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์หมุน และติดเครื่องได้นั่นเองครับ เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าสำรอง ในกรณีที่อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันในบางสถานการณ์อย่างเช่น ในเวลากลางคืนที่ใช้ไฟเยอะกว่าปกติ ระบบจะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ในขณะที่ดับเครื่อง จ่ายไฟให้คงที่กับอุปกรณ์ไฟฟ้ารถยนต์ในขณะที่ไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์อย่างเช่น ไฟหน้า-หลัง แอร์ วิทยุ ระบบไฟส่องสว่างภายในรถ เป็นต้น และการที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้นจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยครับ
การเดินทางไกลเป็นประจำ
สำหรับบางท่านที่มักจะจอดรถยนต์ทิ้งไว้เป็นเวลานานหรือใช้งานเพียงแค่ในระยะใกล้ๆ และมักจะเข้าใจว่าช่วยประหยัดน้ำมัน ทำให้รักษารถยนต์ ไม่ให้ทำงานหนักเกินไป แต่อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่นั้นได้ถูกออกแบบมาเพื่อสำหรับการใช้งาน ซึ่งหากไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ แบตเตอรี่จะมีการคายประจุอยู่เรื่อยๆ และการใช้งานรถยนต์ในระยะสั้นๆ เป็นประจำนั้นจะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมเร็วมากกกว่าเดิม เพราะปกติของแบตเตอรี่จะชาร์จตัวมันเองในระหว่างที่เราเดินทางนั่นเองครับ
การเก็บแบตเตอรี่รถยนต์
เคนสังเกตไหมครับ? ในช่วงที่อากาศหนาวนั้นรถยนต์จะสตาร์ทติดยาก เพราะว่าอากาศที่เย็นเกินไปจะทำให้แบตเตอรี่คายประจุได้เร็วกว่าเดิม ทำให้เสี่ยงที่จะแบตหมดทั้งที่ยังไม่ได้ขับไปไหนด้วยนะครับ และสำหรับอากาศที่ร้อนเกินไปก็จะส่งผลกระทบต่อแบตเตอรี่รถยนต์ได้เช่นกัน และยิ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียกด้วย ซึ่งจะมีของเหลวอยู่ภายในที่จะเกิดการระเหยได้จากการความร้อนที่สูงจนเกินไป แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการชาร์จแบตที่จะทำได้ยากขึ้น และยังมีโอกาสที่จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ทำความสะอาดแบตเตอรี่
การทำความสะอาดแบตเตอรี่ถือว่าเป็นการเช็คสภาพแบตเตอรี่อีกอย่างหนึ่งว่าเสื่อมสภาพหรือไม่ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้วหรือยัง เพราะแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมสภาพจะสังเกตได้ง่ายๆ ว่า จะมีคราบเกลือหรือคราบสนิมที่เกาะที่บริเวณขั้วแบตเตอรี่ และในส่วนของคราบเกลือนั้นสามารถทำความสะอาดได้ง่ายๆ โดยการใช้แปรงโลหะขัดเบาๆ ได้
ชาร์จแบตทุก 6 สัปดาห์
สำหรับระยะเวลาที่เหมาะสมในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ก็คือ ทุกๆ 6 สัปดาห์ ควรมีการชาร์จ 1 ครั้ง และเพื่อให้มั่นใจว่าแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือให้ช่างที่ชำนาญมาดูแลในการชาร์จแบตด้วย เพราะถ้าหากแบตเตอรี่ได้รับความดันไฟฟ้าที่มากเกินไปหรือชาร์จเป็นเวลานานจนแบตเกิน ก็อาจจะส่งผลกระทบให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เหมือนกันครับ
อย่าปล่อยให้แห้ง
แบตเตอรี่แบบน้ำเมื่อผ่านไปสักระยะแล้วน้ำที่อยู่ในเบตจะละเหยลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากความร้อนของสภาพอากาศภายนอก และความร้อนที่เกิดจากเครื่องยนต์ หากปล่อยให้แห้งโดยไม่รักษาระดับน้ำเอาไว้จะทำให้แบตเสื่อมอายุได้ สำหรับการเติมควรเติมเฉพาะน้ำกลั่นเท่านั้นนะครับ
ตรวจเช็กจุดยึด
แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ที่ทำให้แบตเตอรี่มีอายุสั้นลงได้ ควรเช็กตำแหน่งที่วางแบตแบตเตอรี่ให้ดี ว่าวางอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และยึดให้แน่น ไม่ให้แบตเตอรี่สั่นเมื่อรถกำลังวิ่ง เพราะจะทำให้ส่วนประกอบภายในกระแทกและเสียหายได้ครับ
หากไม่ได้มีการดูแลเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน รถยนต์ของเราอาจจะเจอปัญหาต่างๆ ตามมาได้นะครับ เนื่องจากแบตเตอรี่นั้นมีหน้าที่ในการเก็บกระแสไฟฟ้าสำรองเอาไว้เพื่อใช้สำหรับสตาร์ทรถยนต์ พร้อมกับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า โดยมีไดชาร์จที่ค่อยผลิตกระแสไฟฟ้าให้ และหากไดชาร์จมีปัญหาอาทำให้ผลิตแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาได้นั่นเองครับ